การเชื้อเชิญสู่ความเชื่อ
ความเชื่อเป็นเสมือนของขวัญ หากเพียงพระจิตเจ้าทรงดลใจเรา เราก็จะสามารถเชื่อในพระเยซูเจ้าได้ ซึ่งความเชื่อนั้นขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่โดยปกติแล้วเมื่อถึงจุดที่มนุษย์มีความเชื่อ ก็จะเกิดสัมพันธภาพตามมาด้วย ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในความเชื่อของแต่ละคน แม้ว่าเราอาจจะยังไม่พร้อมก็ตาม เช่นเดียวกับเรื่องพระเจ้า พระองค์ตรัสเรียกเรามาเพื่อมอบดวงใจและเข้าถึงพระองค์
เราเดินไปด้วยความเชื่อและมิใช่ตามสิ่งที่เห็น
ลองนึกภาพว่ามีเส้นลวดขึงอยู่ระหว่างตึกธนาคารกับสำนักงานศาลในเมืองที่ท่านอยู่ สตรีผู้หนึ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกธนาคาร และประกาศความตั้งใจว่าจะเดินบนเส้นลวดข้ามไปยังสำนักงานศาล คนกลุ่มหนึ่งมาร่วมเป็นพยานในการกระทำที่อาจหาญนี้ ไม่มีตาข่ายอยู่ด้านล่างเพื่อรองรับสตรีผู้นี้ในกรณีที่เธอพลาดตกลงไป เธอถามคนกลุ่มนั้นว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ว่าเธอจะทำสำเร็จ หลายคนตอบว่าเชื่อและก็เป็นกำลังใจให้เธอดำเนินต่อไป เธอค่อย ๆ เดินข้ามช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง บางช่วงก็ส่ายไปมาและเกือบจะเสียการทรงตัว พอเดินไปถึงอีกฟากหนึ่งเธอก็ได้ยินเสียงไชโยจากเบื้องล่าง ผู้คนร้องตะโกนออกมาว่า “ดีมาก เก่งจริงๆ” แล้วเธอก็หยิบรถเข็นล้อเดียวออกมาคันหนึ่ง และถามผู้ชมว่าเชื่อไหมว่าเธอสามารถเข็นรถเดินกลับไปอีกฟากหนึ่งได้ บางคนพยักหน้าแสดงการยอมรับ ส่วนคนอื่นๆก็ส่ายหน้าด้วยความไม่แน่ใจ ในเวลานั้นเองเธอมองตรงไปยังชายคนหนึ่งและร้องถามว่า “คุณคิดว่าฉันทำได้ไหม?” เขาตอบรับว่าเธอทำได้และยิ้มให้ เธอจึงท้าเขาว่า “งั้นพิสูจน์ความเชื่อของคุณที่มีต่อฉัน โดยขึ้นมานั่งบนรถเข็นคันนี้สิ”
4 สิ่งสุดท้าย ความเชื่อคาทอลิกเกี่ยวกับความตาย การพิพากษา สวรรค์ และนรก
1.ความเป็นจริงที่ไม่น่ารื่นรมย์ พระศาสนจักรตระหนักในหน้าที่ที่จะต้องทำให้ผู้คนมาสนใจสิ่งที่ดูเหมือนเป็นสภาพความเป็นจริงที่ ไม่น่ารื่นรมย์ เช่น ความตายของเราและสิ่งที่อยู่ไกลตัวเรา เพื่อจะทำสิ่งนี้ได้ หลายครั้งมีการกล่าวหาว่าพระศาสนจักร คาทอลิก มักเทศน์สอนเกี่ยวกับศาสนาแห่งความกลัว แต่สิ่งนี้ไม่จริงเลย ความตาย การพิพากษา สวรรค์ และนรก หรือที่เรารู้จักว่าเป็น “4 สิ่งสุดท้าย”
เป็นสภาพความเป็นจริงที่เราทุกคนต้องเผชิญ แม้ว่า เราหลายคนไม่ปรารถนาที่จะ คิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ตาม เราหลายคนไม่ได้คิดถึงความตาย และถ้าเราคิดถึง เราก็จะคิดถึงด้วยความกลัวอย่างจับจิตจับใจเลยทีเดียว การพิพากษาและนรกไม่ใช่ความคิดที่น่าชื่นชอบสำหรับหลายคนในทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าในการทำความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และในการช่วยให้คนอื่นเข้าใจเรื่องเหล่านี้ พระศาสนจักรถือว่า ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะเป็นขั้นตอนที่เราจะเผชิญอย่างแน่นอน เราจะเรียนรู้ ความตายจากประสบการณ์เพื่อเราจะได้มีความหวัง ณ ที่นี้ การตอบสนองสิ่งที่กระทำลงไป (กรรมสนองกรรม) และ ความกลัวมีความสำคัญเพียงเล็กน้อย
ความเชื่อคือ การยอมรับว่า ผู้นั้น สิ่งนั้น เหตุการณ์นั้น เรื่องนั้น มีอยู่จริง เป็นจริง และไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยเหตุด้วยผล หรือตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรก็ตามที่เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลหรือด้วยวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ต้องอาศัยความเชื่อ เพราะมันเป็นควมจริงที่พิสูจน์ได้แล้ว เช่น เราทราบว่า บนดวงจันทร์ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ดังนั้น ความเชื่อที่บอกว่ามีกระต่ายบนดวงจันทร์จึงไม่ถูกต้อง เพราะพิสูจน์แล้วด้วยการส่งมนุษย์อวกาศไปสำรวจดวงจันทร์ และพบว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตจริงๆ
ความเชื่อ เป็นพระพรที่พระประทานให้มนุษย์ ให้มนุษย์ยอมรับในพระเป็นเจ้า และพระวาจาของพระองค์ที่ทรงมอบแก่มนุษย์ อันได้แก่พระคัมภีร์นั่นเอง
เราจะอธิบายความหมายของความสุขแท้จริงอย่างไร?
(CCC 1716-1717)
“ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” ในประเด็นนี้ พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงยกย่องความยากจนในความหมายตามตัวอักษร แต่พระองค์ทรงกล่าวถึงบุคคลที่ถูกลิดรอนทรัพย์สินเงินทอง, อำนาจ, ชื่อเสียง และไม่ใส่ใจในสิ่งต่างๆ ที่สื่อถึงเป็นความสำเร็จฝ่ายโลก แต่มีความซื่อสัตย์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องไว้วางใจพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในทุกเรื่อง พระเยซูเจ้าขอให้เรามีความยากจนในจิตใจแบบนั้นเหมือนกัน คือต้องมีความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
“ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน” คำสอนนี้ให้ความหวังแก่เราว่า ท่ามกลางความยากลำบากที่เราได้รับ เราจะได้รับการปลอบโยนในตอนท้าย เราต้องไม่กลายเป็นผู้ที่ขมขื่น