/home/missionbkk/public_html/templates/30aug182/component.php on line 5
"> นักบุญซิสเตอร์โฟสตินา โควาลสกาอัครธรรมทูตแห่พระเมตตา

fostina

นักบุญซิสเตอร์โฟสตินา โควาลสกาอัครธรรมทูตแห่พระเมตตา

(ที่มา : นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 226 ปีที่ 36 กรกฎาคม – สิงหาคม 2019/2562 , หน้า 11 – 13)

     ความมั่นใจในพระเมตตา คือสิ่งจำเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคสมัยของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ขณะเดียวกันก็เกิดวิกฤตทางศาสนาและศีลธรรม  " หากปราศจากพระเยซูคริสตเจ้าแล้ว เราก็ไม่รู้จักพระเจ้า ชีวิต ความตาย และตัวเราเองอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่วัฒนธรรมไร้พระเจ้า ได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ไร้ความหวัง เพราะพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรักนิรันดร์เท่านั้น ที่ทรงเติมเต็มดวงใจของมนุษย์ได้"
( พระคาร์ดินัล เอ.รูโก้ เวรูต้า พระอัครสังฆราชแห่งเมืองมาดริด)

   • ข่าวสารสำหรับชาวโลก

พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาบอกชาวโลกที่อยู่ในความทุกข์ระทม ซึ่งเรื่องความรักแห่งพระหฤทัยเปี่ยมเมตตาของพระองค์ ผ่านทางหญิงสาวพื้นบ้านธรรมดาซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก มีหน้าที่แค่เป็นคนครัว ทำสวน และคอยเปิด - ปิดประตูในอาราม พระองค์ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้แก่เธอ
" เราส่งเธอไปประกาศพระทัยเมตตาของเราแก่มนุษยชาติทั้งมวล เราไม่ปรารถนาลงโทษมนุษยชาติที่กำลังทนทรมาน แต่เราอยากเยียวยารักษา และแสดงดวงหทัยเปี่ยมเมตตาของเรา... จงบอกชาวโลกทั้งหลายถึงความเมตตาของเรา"

     ซิสเตอร์โฟสตินา โควาลสกา ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ค.ศ.2000 โดยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่2
ซิสเตอร์โฟสตินา เดิมชื่อ เฮเลนา โควาลสกา เป็นบุตรีคนที่ 3 ในจำนวน 10 คน เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1905 ที่ประเทศโปแลนด์ เธอเป็นคนร่าเริง เล่นสนุกสนานเหมือนเด็กอื่นๆในหมู่บ้าน เมื่ออายุ 7 ขวบ พระองค์ทรงเรียกเธอซึ่งเธอได้บันทึกไว้ว่า "ดิฉันได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอย่างชัดเจน เชิญให้ดิฉันเข้าสู่ชีวิตอันสมบูรณ์ครบครัน แต่ดิฉันไม่ได้นบนอบต่อพระองค์เสมอไปทุกครั้ง" ที่โรงเรียน เธอแสดงให้เห็นถึงความมีเชาวน์ปัญญา อย่างไรก็ดี เธอจำเป็นต้องช่วยเหลืองานที่บ้าน เมื่ออายุ 14 ปี เฮเลนาได้ไปทำงานที่ฟาร์มของเพื่อนบ้าน หลังจากทำงานรับใช้อย่างทุ่มเทเป็นเวลาหนึ่งปี เธอได้สารภาพกับมารดาว่า "แม่คะ ลูกอยากจะเป็นนักบวช" คำตอบทได้รับก็เป็นไปตามสถานการณ์ ณ เวลานั้นคือ "ไม่ได้" ครอบครัวโควาลสกาไม่อาจแบกภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นของการเข้าอารามในสมัยนั้น เฮเลนากลับสู่การทำงานอีกครั้งที่เมืองลอดซ์ และเมื่อเธออายุ 18 ปี หญิงสาวได้ขออนุญาตเข้าอารามอีกครั้ง แต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิมคือ ไม่ได้ "เมื่อพ่อแม่ไม่ให้ดิฉันเข้าอาราม ดิฉันก็พยายามให้ความสุขตนเองด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ไปสนใจสิ่งสร้าง แต่แล้วพระหรรษทานก็ชนะอยู่ดี วันหนึ่ง เมื่อดิฉันอยู่งานเต้นรำกับน้องสาว ผู้คนกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน แต่วิญญาณของฉันกลับรู้สึกอึดอัดอย่างแปลกประหลาดยิ่ง เมื่อดิฉันกำลังจะเต้น ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าก็ปรากฎให้ดิฉันเหรอยแผลแตกยับจากการถูกทรมาน พระองค์ตรัสกับดิฉันว่า "เราต้องทนรอเธอนานถึงเมื่อไร" ต่อจากนั้น ดิฉันก็ไม่ได้ยินเสียงดนตรีอีกเลย กลุ่มเพื่อนร่วมกิจกรรมด้วยกันก็อันตรธานหายไป เหลือเพียงแค่ดิฉันกับพระเยซู ดิฉันนั่งลงถัดจากน้องสาว และบอกน้องสาวว่าดิฉันกำลังรู้สึกไม่สบายจากโรคไมเกรน

     ต่อจากนั้น ดิฉันหลบออกไปจากงานเต้นรำและวิ่งไปที่อาสนวิหารนักบุญสตานิสลาส ดิฉันทรุดตัวลงหน้าจรดพื้นกราบศีลมหาสนิท โดยไม่สนใจว่าใครแถวนั้นจะมองหรือไม่ ดิฉันถามพระองค์ว่า ดิฉันควรทำอะไรต่อจากนี้ สิ่งที่ดิฉันได้ยินคือ “จงไปที่เมืองวอร์ซอ และเธอจะเข้าอารามที่นั่น” ดิฉันลุกขึ้นทันที...หยิบข้าวของเท่าที่สามารถกับชุดสำรองเพียงชุดเดียวใส่หลัง ขึ้นรถไฟไปวอร์ซอทันที”

     ที่นั่น เธอได้พูดกับพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่มอบหมายให้เธอไปทำงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านของสตรีใจศรัทธาคนหนึ่ง จนกระทั่งเธอได้เข้าเป็นสมาชิกคณะพระนางมารีย์แห่งความเมตตา คณะนี้ตั้งขึ้นโดย คุณแม่แทแรส รองโด สตรีชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ช่วยเหล่าหญิงสาวฝรั่งเศสที่อยู่ในสภาพบาปให้กลับสู่ทางที่ถูกต้อง และให้การศึกษาอบรมบรรดาสตรีวัยเยาว์ที่ยังต้องการการปกป้อง

• สิ่งที่ทำให้พระองค์ต้องทนทรมานเช่นนั้น
เฮเลนามีความสุขอยู่แค่ช่วงแรก ในเวลาต่อมาเธอกลับต้องผิดหวัง เพราะต้องรับภาระงานบ้าน จนแทบไม่เหลือเวลาสำหรับรำพึงภาวนาส่วนตัวกับพระเยซูเจ้า เธอบันทึกว่า “หลังจากผ่านไปสามสัปดาห์ ดิฉันตัดสินใจที่จะเข้าอารามที่เคร่งครัดกว่าเดิม ความคิดนี้คอยรบกวนจิตใจว่าสักวันหนึ่งโอกาสเหมาะ ดิฉันตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปจากที่นี่... เมื่อกลับเข้าไปยังที่พัก ดิฉันทรุดตัวลงหน้าจรดพื้นวอนขอพระเจ้าให้เผยแสดงน้ำพระทัยของพระองค์...ทันใดนั้น มีลำแสงเจิดจ้าขึ้นที่ห้องและบนผ้าม่าน ดิฉันเห็นพระพักตร์อันศักดิ์สิทธิ์เผยความทุกข์อันไม่อาจบรรยาย เต็มไปด้วยบาดแผลและน้ำตานองหน้าหยดลงบนผ้าปูที่นอนของดิฉัน ดิฉันกล้าถามพระองค์ว่า “พระเยซูเจ้าข้า อะไรที่ทำให้พระองค์ทรงทุกข์ทรมานมากเพียงนั้น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เธอจะไปจริงหรือ เราเรียกเธอมาที่นี่ และที่นี่แหละที่เราได้เตรียมพระหรรษทานมากมายให้แก่เธอ” ...และตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจ” ด้วยใจที่สงบเย็น เฮเลนาได้ยอมมอบตนเองให้สนิทสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นงานในครัว ขุดดินในสวน หรือขายขนมปังให้กับผู้คนที่หน้าประตูบ้านก็ตาม

     เมื่อได้รับอนุญาตให้สวมชุดนักบวชในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1926 เธอได้รับชื่อว่า ซิสเตอร์โฟสตินา แต่ไม่นาน การทดสอบอันหนักหนาสาหัสก็เกิดขึ้นกับเธอ
“เมฆหมอกความมืดมนของชีวิตเริ่มแผ่ปกคลุมวิญญาณดิฉัน หนาขึ้นและมากขึ้น จิตวิญญาณดิฉันเศร้าหมอง ความเชื่อความศรัทธาของดิฉันดูบูดเบี้ยว สับสน เมื่อมีคนพูดเรื่องพระเจ้ากับดิฉัน ใจดิฉันเหมือนก้อนหิน ไม่อาจตอบสนองความรักนั้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว ดิฉันไม่พบความบรรเทาเลยในการภาวนา บ่อยครั้งในเวลามิสซา ดิฉันไม่ได้ทำอะไรนอกจากอยากกล่าวคำสบถในลิ้นในปากของดิฉัน... เมื่อพระสงฆ์อธิบายว่า เป็นการทดลองจากพระ และดิฉันไม่ได้ทำผิดต่อพระองค์ ... ดิฉันทรุดตัวลงต่อหน้าศีลมหาสนิท และกล่าวคำเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาว่า “แม้พระองค์จะทรงฆ่าดิฉันเสีย ดิฉันก็ยังคงมั่นใจในพระองค์”

     เหตุการณ์เช่นนี้เป็นอยู่นานถึงสองปีครึ่ง เทียบได้กับพันธกิจที่มอบหมายให้ซิสเตอร์โฟสตินาไปทำ เธอเตือนชาวโลกบ่อยๆถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า และความมั่นใจในพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์

     ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1931 พระองค์ทรงปรากฏแก่เธออย่างสง่าด้วยอาภรณ์สีขาว พระหัตถ์ข้างหนึ่งอยู่ในลักษณะการอภัยบาป อีกข้างวางที่ดวงพระทัยของพระองค์ มีลำแสงสองลำแสง ส่องสว่างออกมาจากพระหฤทัย ลำแสงหนึ่งเป็นสีขาว อีกลำแสงหนึ่งเป็นสีแดง

     “ในความเงียบนั้น ดิฉันเพ่งพิศถึงองค์พระเจ้า ดวงใจดิฉันเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็เปี่ยมด้วยความยินดีเหลือล้น สักพักหนึ่ง พระเยซูเจ้าตรัสกับดิฉันว่า “จงวาดรูปตามแบบนี้ และให้เขียนคำว่า พระเยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์ เราอยากให้รูปนี้ได้รับการเคารพในวัดน้อยแห่งนี้เป็นที่แรกและขยายต่อไปทั่วโลก เราสัญญาว่าผู้ที่เคารพนับถือพระรูปนี้จะไม่ถูกทำลายหรือลงโทษ เราสัญญาว่าพวกเขาจะชนะเหนือศัตรูทั้งหลายในโลก และโดยเฉพาะช่วงเวลาแห่งความตาย เราจะปกป้องพวกเขาด้วยตัวเราเองเพื่อพระสิริมงคลของพระเจ้า”
ซิสเตอร์โฟสตินาได้เล่าถึงการเผยแสดงนี้แก่พระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของเธอ แต่พระสงฆ์ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก จนกระทั่งคำสั่งของพระเจ้าเริ่มชัดขึ้นและมีผลมากขึ้นทุกที “เราต้องการให้พระสงฆ์ประกาศความเมตตายิ่งใหญ่ของเรา เราปรารถนาให้คนบาปมาหาเราโดยไม่หวาดกลัว เปลวเพลิงแห่งพระเมตตาของเราเผาผลาญอยู่ในตัวเรา ไม่มีบาปใดเป็นอุปสรรค พระเมตตาอันมากมายเหลือล้นจะทวีมากยิ่งขึ้น ยิ่งมาตักตวงมากเท่าไรก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เรามาในโลกนี้เพื่อคนบาป และเพื่อพวกเขาเราได้หลั่งเลือด เรามีเวลาที่จะลงโทษ แต่ขณะนี้ เรากำลังขยายเวลาแห่งความเมตตาต่อมวลมนุษยชาติ”